Scottish Universities Alumni
"
Review (ฉบับย่อ) Copyright X: Glasgow
- คืออะไร
- วิชากฎหมายลิขสิทธิ์ ซึ่งออกแบบหลักสูตรโดยอาจารย์จาก Harvard Law School (HLS)
- เกี่ยวอะไรกับ Glasgow
- University of Glasgow (UoG) เปิดสอนวิชานี้ในฐานะเป็นหลักสูตรในเครือ (affiliated course) โดยนอกจาก UoG แล้ว ยังมีมหาวิทยาลัยอื่นหลายแห่งทั่วโลกที่เปิดสอนวิชานี้ เช่น Monash University (ออสเตรเลีย), University of Hamburg (เยอรมัน) เป็นต้น
- ปีนี้ใน UK มีแค่ UoG เท่านั้นที่เปิดสอน ส่วนปีก่อน ๆ มีแค่ Bournemouth (ปีการศึกษา 2014/15) และ Sterling (2015/16) (อ้างอิง: http://copyx.org/affiliates/)
- เปิดสอนมากี่ปี เรียนกี่คน ใครบ้าง
- HLS อนุญาตให้ UoG เปิดสอนตั้งแต่ปี 2013 แต่กว่าจะได้เปิดสอนจริงคือปีการศึกษา 2016 ดังนั้น ปีนี้ (2017/18) จึงเป็นปีที่ 2 ที่เปิดสอน โดยมีนักเรียนทั้งหมด 11 คน เป็น ป.โท 10 คน และ ป.เอก อีก 1 คน ส่วนปีที่แล้วมีนักเรียนเรียน 5 คน (เนื่องจากปีที่แล้วคลาสเล็ก เลยมีการเสนอแนะให้ปีนี้รับนักเรียนมากขึ้น แต่ feedback ปีนี้บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า คนเยอะเกิน 5555 ผมเลยคิดว่าปีหน้า อาจจะรับน้อยกว่าปีนี้)
- นักเรียนคละชาติมาก โดยปีนี้มี เยอรมัน บราซิล มอลตา กรีซ สก็อตแลนด์ จีน มาเลเซีย และไทย
- เยอรมันมีจำนวนเยอะสุดคือ 3 คน รองลงมาคือ สก็อตแลนด์ 2 คน ที่เหลือชาติละคน (ผมเป็นคนไทยคนเดียว และน่าจะเป็นคนแรก จากการถามรุ่นพี่ปีที่แล้ว เค้าบอกว่า ปีที่แล้วไม่มีเด็กไทยลงเรียน)
- ใครเป็นคนสอน
- มีอาจารย์ 2 ท่าน โดยแยกสอนกันคนละส่วน
- Prof. William Fisher สอนเนื้อหาหลักผ่านทาง YouTube (อาจารย์ท่านนี้เป็นอาจารย์จาก Harvard Law School) และ
- Dr. Thomas Margoni สอนเนื้อหาเสริม (อาจารย์ท่านนี้เป็นประธานหลักสูตร LLM. IP ของ UoG และเป็น senior lecturer สอนวิชา Copyright in the Digital Environment (CDE)
- อาจารย์ผู้ช่วยอีก 1 ท่าน
- Ally Farnhill เป็นผู้นำการสัมมนา (ท่านนี้เป็นศิษย์เก่า LLM. IP (2016/17) และเป็นนักเรียนรุ่นแรกของ Copyright X: Glasgow)
- สมัครเรียนยังไง ใครสมัครได้บ้าง
- รับสมัครเฉพาะนักเรียน LLM in IP เท่านั้น (กรณี ป.เอก ที่มาเรียนในปีนี้ เหมือนว่าเค้ามาสังเกตการณ์เฉย ๆ คือเค้าแทบจะไม่เสนอความคิดเห็นใด ๆ ในห้องเรียน โดยจะปล่อยให้เด็ก ป.โท คุยกันเอง รวมถึงเค้าไม่ต้องทำงาน group project ส่ง – งานกลุ่มคืออะไร เดี๋ยวอธิบายในข้อ 10)
- จะมีการประชาสัมพันธ์ช่วงต้นเทอมแรกก่อน หลังจากนั้นประมาณปลายเทอมแรก อาจารย์ Margoni จะอีเมล์ถึงนักเรียนว่าใครที่สนใจให้อีเมล์ตอบกลับแสดงความประสงค์จะสมัครเรียน
- อาจารย์จะคัดเลือกอีกทีหนึ่ง โดยใช้วิธีใครสมัครก่อนได้ก่อน (first come, first served basis) แต่อาจารย์เคยบอกว่า จะต้องดูผลคะแนน essay ชิ้นแรก (วิชา CDE) ประกอบด้วย คือว่าปีนี้นักเรียน LLM in IP ลงวิชา CDE กันหมดเลย ดังนั้นอาจารย์ก็เลยกำหนดเงื่อนไขนี้ขึ้นมา (แต่ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้ว เค้าได้ดูคะแนนเป็นปัจจัยเสริมด้วยมั้ย)
- เรียนที่ไหน
- ห้องประชุมของศูนย์วิจัย CREATe (ศูนย์วิจัยด้านกฎหมายลิขสิทธิ์ (Copyright) และโมเดลธุรกิจใหม่ในเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ (New Business Models in the Creative Economy)) โดยอยู่ใกล้ ๆ กับ Chapel ของมหาวิทยาลัย (ลิงค์ศูนย์วิจัย: http://www.create.ac.uk)
- เรียนช่วงไหน, เรียนกี่ครั้ง กี่ชั่วโมงต่อครั้ง
- เรียนทั้งหมด 10 ครั้ง ๆ ละ 2 ชั่วโมง (ปีนี้เรียนทุกวันจันทร์ เวลา 14 – 16 )
- เรียนต้นกุมภา ถึง ต้นเมษา (5 กุมภา – 9 เมษา)
- เนื้อหาที่เรียน
- เน้นกฎหมายลิขสิทธิ์ของอเมริกา และมีเปรียบเทียบบ้างกับพวก EU หรือ ประเทศอื่น ๆ
- เน้นทฤษฎี และคำพิพากษาของศาลสูงของอเมริกา
- เนื้อหาเยอะและหลากหลาย โดยเรียนเกือบครบทุกประเด็นสำคัญของกฎหมายลิขสิทธิ์ เช่น
- Justifications to copyright law เช่น ทฤษฎี Fairness, Personality, Welfare และ Culture
- งานอันมีลิขสิทธิ์ (Subject matter) เช่น การคุ้มครอง Fictional Characters
- ความเป็นผู้สร้างสรรค์ (Authorship) เช่น แนวคิด Romanticism และแนวคิด Confucianism
- การละเมิดลิขสิทธิ์ (Copyright Infringement) เช่น Subconscious Copying
- Fair use เช่น Parody
- วิธีการเรียน
- สิ่งที่ต้องทำ
- ดูคลิปวิดีโอที่สอนโดย Prof. William Fisher ก่อนเสมอ โดยสามารถเข้าไปดูเนื้อหาได้ที่เว็บ www.copyx.org (หรือสามารถเข้าผ่าน YouTube โดยตรงก็ได้ โดยพิมพ์คำค้นทำนองว่า copyright x) และเว็บสื่อประกอบการเรียนhttps://cyber.harvard.edu/people/tfisher/IP/IPMaps.htm
- อ่านบทความ ซึ่งจำนวนบทความที่ต้องอ่านก็เยอะประมาณนึง แต่ไม่มาก โดยเฉลี่ยน่าจะประมาณ 40 – 60 หน้า ต่อสัปดาห์ (ไม่เยอะเท่าวิชาหลักที่เรียนใน LLM ซึ่งเฉลี่ยประมาณ 100 หน้า)
- เข้าคลาสเรียนและคุยเกี่ยวสิ่งที่ฟังและอ่านมา
- Student-led Seminar
- อาจารย์ Margoni แทบจะไม่พูดอะไรเลย คือไม่สอนอะไรเลยนั่นเอง 5555
- นักเรียนทุกคนต้องนำสัมมนากันเองว่า เรื่องที่อ่านและฟังมาเป็นยังไง มีประเด็นอะไรสำคัญ มีคดีไหนที่ศาลตัดสินแล้วเกิดผลกระทบต่อเจ้าของสิทธิ์หรือไม่
- ด้วยความที่ให้นักเรียนนำสัมมนากันเอง ผลคือคาบแรกที่เรียนนั้น ต่างคนต่างพูดกันคนละประเด็น พูดสลับเนื้อหาไม่เป็นไปตามลำดับที่ฟังหรืออ่านมา
- การเรียนในครั้งต่อ ๆ มา เลยมีการกำหนดให้อาจารย์ผู้ช่วย Ally Farnhill มาช่วยนำสัมมนา โดยเค้าจะคอยกำหนดประเด็นและลำดับของเนื้อหาที่จะคุยกัน ผลคือ คุยกันถูกประเด็นและเป็นลำดับตามเนื้อหามากขึ้น
- ในประเด็นไหนที่ซับซ้อนหรือมีแง่มุมอื่นที่น่าสนใจนอกเหนือไปจากคลิปวิดีโอและรายการบทความที่ต้องอ่าน อาจารย์ Margoni จะคอยแทรกเนื้อหาและมุมมองที่น่าสนใจให้คิดกันต่อ (ข้อนี้ถือว่าดีมาก เพราะมักเป็นสิ่งที่เราไม่รู้ ไม่เคยนึกถึง หรือไม่เคยเรียนมาก่อนจากวิชาอื่น ๆ ที่ลงเรียนปกติ เช่น ประเด็นคำถามว่าเหตุใดงานอันมีลิขสิทธิ์บางประเภทถึงได้รับความคุ้มครองเท่ากับงานอันมีลิขสิทธิ์ประเภทอื่น ทั้ง ๆ ที่ระดับการคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (originality) ในงานแต่ละประเภทนั้นแตกต่างกัน หรือประเด็นคำถามว่าเหตุใด EU ถึงกำหนดให้การคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (originality) ต้องเกิดจาก creative choice เท่านั้น โดยไม่รวมถึง creative control)
- การทดสอบจบ
- โดยปกติจะวัดผลด้วยวิธีการสอบแบบทำข้อสอบแนวตุ๊กตาทำนองเดียวกันกับข้อสอบตุ๊กตาเมืองไทยเลย
- แต่ UoG ใช้วิธีวัดผลจากการทำ Group Project โดยต้องนำเสนอเป็นกลุ่มส่งในคาบสุดท้าย
- อาจารย์บอกว่าจะเลือกสอบก็ได้ แต่การเลือกสอบนี้เป็นทางเลือกเสริม (optional) ในที่นี้หมายถึงว่า ต่อให้เลือกสอบ ก็ยังต้องทำงานกลุ่มส่งอยู่ดี (สุดท้ายคือไม่มีใครเลือกสอบเพิ่มนะ)
- Group Project
- เน้นศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ (ให้ความรู้สึกเหมือนทำ dissertation เลย) โดยปีนี้ศึกษาเรื่อง Right of communication to the public of works
- แม้เป็นงานกลุ่ม แต่จะมีการแบ่งงานให้ต่างคนต่างศึกษาประเด็นย่อย ๆ เช่น history at international level and at EU level, transmission, making available to the public, “new” public, และพวก cases ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องซึ่งตัดสินโดยศาล CJEU/ECJ
- นำเสนอพร้อมสื่อประกอบ เช่น power point, prezi เป็นต้น (ไม่ต้องทำรายงานนะ แค่ทำสื่อประกอบการนำเสนออย่างเดียว)
- จบแล้วได้อะไร
- ใบเกียรติบัตรเข้าร่วมหลักสูตร โดยออกให้ในนามของมหาวิทยาลัย Harvard
- แต่ต้องเป็นไปตามเกณฑ์ด้วยคือ (1) ผลการนำเสนอกลุ่ม ต้องเป็นที่พึงพอใจของอาจารย์ว่านักเรียนได้ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมความรู้จนถึงระดับที่ยอมรับได้ และ (2) ต้องไม่ขาดเรียนเกิน 3 ครั้ง (มันเรียนแค่ 9 ครั้ง + 1 ครั้ง สำหรับการนำเสนองานกลุ่ม ดังนั้น ถ้าขาดเยอะเกิน ก็จะไม่ได้เกียรติบัตร)
- ได้อะไรวิจากวิชานี้ ตอบแบบภาพรวม
- ต้องกล้าพูด เพราะคนเรียนไม่มาก หากไม่พูดเลย จะถูกจี้ถาม
- ต้องรีบตอบ เพราะจะมีการเปลี่ยนประเด็นคุยกันค่อนข้างเร็ว เนื่องจากครั้งนึงเรียนเพียง 2 ชั่วโมง จึงทำให้ต้องเร่งคุยเพื่อที่จะได้เก็บประเด็นสำคัญให้ครบ ดังนั้น คิดเห็นอย่างไร ก็พูดออกไปเลย ไม่จำต้องสนใจว่าจะถูกหรือผิด
- ควรรู้ข่าวเกี่ยวกับกฎหมาย IP ที่เกี่ยวกับประเทศของตนเอง เช่น
- เนื้อหาที่เรียน มีคาบหนึ่ง เรียนเกี่ยวกับคดีละเมิดลิขสิทธิ์ ที่คนไทยขายหนังสือมือสองในอเมริกา (คดีของ คุณสุภาพ เกิดแสง) อาจารย์และเพื่อน ๆ ก็มาถามผมว่า ช่วงที่ศาลของอเมริกาตัดสินให้คนไทยชนะ ข่าวในไทยว่าอย่างไรบ้าง ความเห็นคนไทยคิดยังไงต่อเรื่องนั้น (ข้อนี้ขึ้นอยู่กับการเตรียมตัวก่อนเข้าเรียนของแต่ละคน)
- กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญามักมีบทบัญญัติว่าด้วยมาตรการบังคับใช้สิทธิ (Compulsory License หรือ CL) โดยประเทศไทยก็เคยมีการประกาศใช้ CL กับสิทธิบัตรยา เช่น ยาต้านไวรัส Efavirenz เป็นต้น เมื่อเทียบกับอเมริกานั้น เค้าก็มีการใช้ CL เหมือนกัน โดยใช้กับงานเพลงอันมีลิขสิทธิ์ (Music work) ดังนั้น ถ้าเราพอรู้เรื่อง CL มาก่อนบ้าง ก็จะทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้นเมื่อมีการเรียนเรื่อง CL ในกฎหมายลิขสิทธิ์
- ต้องบริหารเวลาให้ดี เพราะตลอดช่วงที่เรียนวิชานี้ จะตรงกับช่วงปั่น essay ของวิชาอื่น รวมถึงเป็นช่วงเตรียมตัวอ่านหนังสือสอบปลายภาคด้วย [ปีนี้มี essay ปลายภาค 2 ตัว (ส่ง 13 และ 16 เมษา) และสอบปลายภาคอีก 2 ตัว (26 เมษา และ 2 พฤษภา)]
- คำแนะนำสำหรับคนที่สนใจ
- วิชานี้เป็น extracurricular subject หมายถึง
- ไม่นับหน่วยกิต
- ไม่มีคะแนน
- ไม่ปรากฏในใบ transcript
- ไม่มีไรทั้งสิ้น 5555
- แต่ถ้าอยากได้ความรู้เพิ่ม อยากรู้เกี่ยวกับกฎหมายลิขสิทธิ์ในแบบที่ลงลึกกว่าที่เรียนแบบทั่ว ๆ ไป วิชานี้ตอบโจทย์แน่นอน
- สำหรับคนที่สนใจในวิชากฎหมายลิขสิทธิ์ เช่น นักศึกษา ป.ตรี หรือผู้ที่ทำงานสาย IP สามารถเข้าไปดูคลิปการสอนได้ฟรีทาง YouTube รวมถึงสามารถโหลดบทความที่เกี่ยวข้องได้ฟรีโดยตรงจากเว็บ www.copyx.org
- ผมแนะนำเว็บไซต์ https://cyber.harvard.edu/people/tfisher/IP/IPMaps.htm ซึ่งนอกจากจะมีข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายลิขสิทธิ์แล้ว ยังมี IP อื่น ๆ อีกด้วย เช่น สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า และความลับทางการค้า
"