สก็อตแลนด์มีสัดส่วนมหาวิทยาลัยที่ติดอันดับ World’s Top Universities ต่อจำนวนประชากรมากกว่าประเทศใดๆ ในโลก1 และเป็นประเทศที่ ประชากรมีระดับ การศึกษาสูงที่สุดในยุโรป โดยสูงกว่าฟินแลนด์ เยอรมัน ฝรั่งเศส และอังกฤษ2 นอกจากนี้มหาวิทยาลัย 15 แห่งในสก็อตแลนด์มีการสอนและ งานวิจัย ครอบคลุมในแทบทุกสาขาวิชา และมีชื่อเสียงมายาวนานในเรื่องคุณภาพการศึกษา จากการสำรวจของ National Student Survey 2013 ยัง พบว่า มหาวิทยาลัยในสก็อตแลนด์ได้รับความพึงพอใจจากนักศึกษา (Student Satisfaction) และโอกาสในการได้งาน (Career Prospect) โดยเฉลี่ย ดีกว่า มหาวิทยาลัยในเขตอื่นๆ ของUK (England, Wales, และ Northern Ireland)3
ทั้งหมดนี้ เป็นผลสะท้อนมาจากการให้ความสำคัญทั้งภาคทฤษฏีและภาคปฎิบัติ ซึ่งนำไปสู่งานวิจัยและการค้นพบที่สำคัญๆ ของโลกมากมาย ตั้งแต่เครื่องจักร ไอน้ำ (James Watt) ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ (Adam Smith) ทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้า (Maxwell) ทฤษฎีเทอร์โมไดนามิคส์ (Kelvin และ Rankine) โทรศัพท์ (Alexander Graham Bell) ยาปฎิชีวนะ (Alexander Fleming) โทรทัศน์ (John Logie Baird) ตู้เย็น (William Cullen) เครื่องกำเนิดไฟฟ้า พลังลม (James Blyth) เครื่องสแกนเอ็มอาร์ไอ (John Mallard) ตู้เอทีเอ็ม (John Shepherd-Barron) และอื่นๆ อีกมากมาย
นอกจากนั้น สก็อตแลนด์ ยังเป็นแม่แบบการศึกษาของหลายๆประเทศที่สำคัญ อาทิ หลักสูตรปริญญาตรีแบบ 4 ปีที่ใช้กันในสหรัฐอเมริกา รวม ไปถึง มหาวิทยาลัยที่สำคัญหลายแห่งของโลก ที่ก่อตั้งตามแบบของมหาวิทยาลัยสก็อต เช่น McGill Universityและ Queen’s University ในแคนาดา คณะแพทย์ แห่งแรกของสหรัฐอเมริกาที่ University of Pennsylvania คณะแพทย์แห่งแรกของจีนที่ University of Hong Kong และคณะวิศวกรรมศาสตร์ แห่งแรกใน ญี่ปุ่น ซึ่งต่อมาเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยโตเกียวก็ถูกก่อตั้งและวางหลักสูตรขึ้นโดยคณาจารย์จากสก็อตแลนด์
1. Per head of population จากการจัดอันดับของ Times Higher 2014 และ QS University Ranking 2014.
2. UK Office for National Statistics. The Independent 6 June 2014.
3. National Student Survey 2013. BBC 26 June 2014